รายละเอียดที่ควรทราบสำหรับสารเติมในสนามฟุตบอลหญ้าเทียม

• การเลือกประเภทสารเติมแต่ง:

สารเติมแต่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ทรายควอตซ์และอนุภาคยาง ทรายควอตซ์สามารถเพิ่มความเสถียรและความสามารถในการยึดเกาะของสนามหญ้า ช่วยยึดเส้นใยหญ้าให้อยู่ตัว ส่วนอนุภาคยางจะช่วยให้มีความยืดหยุ่นและลดแรงกระแทก ลดความเสี่ยงการบาดเจ็บของนักกีฬา

• ข้อกำหนดด้านมาตรฐาน:

ขนาดอนุภาคของทรายควอตซ์ควรอยู่ในช่วง 0.5-1.5 มม. มีปริมาณซิลิกาไดออกไซด์ไม่น้อยกว่า 90% และเป็นชนิดที่ไม่มีมุมแหลมคมหรือหลุดล่อนเป็นผงหลังล้างน้ำ ส่วนขนาดอนุภาคของยางอยู่ที่ประมาณ 1-3 มม.

• อัตราส่วนการเติม:

โดยปกติจะใช้อัตราส่วน 70% อนุภาคยาง + 30% ทรายควอตซ์ แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน เช่น ในสนามกีฬาที่มีแรงกระแทกสูง อาจเพิ่มสัดส่วนของอนุภาคยางให้มากขึ้นได้

• ความลึกของการเติม:

ความหนาของอนุภาคที่ใช้เติมในสนามฟุตบอลหญ้าเทียม โดยทั่วไปจะไม่น้อยกว่า 60% ถึง 70% ของความสูงเส้นใยหญ้า เมื่อเติมแล้ว พื้นหญ้าจะยุบตัวลงในระหว่างการใช้งาน จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงการเผื่อปริมาณไว้บางส่วน

• ปริมาณการเติม:

สำหรับหญ้าเทียมที่มีความสูง 50 มม. ปริมาณการเติมของทรายควอตซ์โดยทั่วไปอยู่ที่ 20-25 กก./ม² และปริมาณการเติมของอนุภาคยางประมาณ 5 กก./ม² ค่าที่เฉพาะเจาะจงอาจแตกต่างกันไปตามลักษณะผลิตภัณฑ์และข้อกำหนดของพื้นที่

• ขั้นตอนการก่อสร้าง:

ก่อนทำการเติม ควรทำความสะอาดและตัดแต่งสนามหญ้าให้ผิวเรียบและปราศจากเศษวัสดุ เมื่อเริ่มเติม ต้องกระจายอนุภาคให้สม่ำเสมอ สามารถใช้อุปกรณ์เฉพาะทางหรือทำด้วยมือก็ได้ หลังจากเติมแล้ว ต้องทำการอัดแน่นและตัดแต่งอนุภาค จากนั้นตรวจสอบปริมาณและรูปแบบการเติมว่าตรงตามข้อกำหนดหรือไม่

• คุณภาพของวัสดุ:

สามารถเลือกอนุภาคยางได้จากประเภทต่าง ๆ เช่น อนุภาค EPDM และอนุภาค TPE โดยอนุภาค TPE มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย แต่มีราคาแพง ในขณะที่อนุภาค EPDM มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สูง คุณภาพดี และราคาถูก เมื่อไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ควรเลือกอนุภาคที่มีความยืดหยุ่น แข็งแรงทนทาน ไม่แตกหักง่าย และปราศจากฝุ่น สำหรับสนามฝึกอบรมเด็กหรือเยาวชน ควรเลือกอนุภาคสีเขียวที่มีเนื้อยางสูง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีพิษและไม่เป็นอันตราย

• การบำรุงรักษาหลังการติดตั้ง:

ควรทำการตรวจสอบและเติมวัสดุกรอกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้วัสดุกรอกกระจายตัวอย่างทั่วถึง และหลีกเลี่ยงการกวาดเอาวัสดุกรอกออกมากเกินไป โดยแนะนำให้บำรุงรักษาในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง